การบริหารระบบราชการในอนาคต
ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะใช้โมเดลขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม เพื่อพัฒนาประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 ดังนั้นระบบราชการ จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อสอดรับกับบริบทที่จะเกิดขึ้น จากการเป็นประเทศไทย 4.0 โดยภาครัฐหรือระบบราชการ จะต้องทำงานโดยยึดหลักธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นหลัก (Better Governance, Happier Citizens) หมายความว่า ระบบราชการไทยจะต้องปฏิรูปขนานใหญ่ เพื่อให้สามารถเป็นที่ไว้วางใจและเป็นพึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง กล่าวคือภาครัฐต้องปรับตัวและต้องพลิกโฉมเข้าสู่ยุคดิจิทัล ยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐ สู่สังคมดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ดังนั้น ภาครัฐจึงต้องมุ่งเน้นความคล่องตัวเพื่อขับเคลื่อนภารกิจพิเศษ (Agenda-based) และนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาพลิกโฉม หน่วยงานภาครัฐสู่ระบบราชการ 4.0 (Government 4.0 หรือ Gov. 4.0) อันเป็นฟันเฟืองและเสาหลักที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างสอดคล้องกับทิศทางในการบริหารงานของประเทศให้ก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้กลไกการพัฒนาระบบราชการมีการปรับตัวต่อความท้าทายใหม่ๆ อีกทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับนานาประเทศ และยังเป็นการยกระดับสมรรถนะของหน่วยงานภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) ได้พัฒนากรอบแนวทางการยกระดับสู่ระบบราชการ 4.0 เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐมีการพัฒนาองค์การไปสู่“ระบบราชการ 4.0” ที่มีการทำงานอย่างเปิดกว้างและเชื่อมโยงถึงกัน (Open & Connected Government) มีการทำงานโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง (Citizen-Centric Government) เป็นองค์การที่มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย (Smart & High Performance Government) โดยอาศัยปัจจัยหลักสำคัญคือ การสานพลังทุกภาคส่วน (Collaboration) การสร้างนวัตกรรม (Innovation) และการปรับเข้าสู่การเป็นดิจิทัล (Digitization/ Digitalization)
สสปท. จึงได้เริ่มพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการขององค์กร เพื่อขับเคลื่อนการให้บริการตามยุทธศาสตร์และภารกิจในการสร้างและส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยเชิงป้องกัน เพื่อให้แรงงานของประเทศมีความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดี
ยุทธศาสตร์ระดับชาติ 5G เป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาประเทศไปสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ในยุคดิจิทัล
โดย...พันเอก ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และอดีตรองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
เมื่อเครือข่ายไร้สาย 3G เปิดตัวในปี 2000 ก็ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าโลกของโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเป็นอย่างไรและจะมีผลกระทบอย่างไร ซึ่ง 3G ได้กลายเป็นตัวกระตุ้นให้ Google, Facebook และ YouTube เติบโตอย่างก้าวกระโดด จนในปี 2010 มีการใช้ 4G เป็นปีแรกๆ ทำให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่และบริษัทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Airbnb, Uber, Netflix, Spotify และ LINE เกิดขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็ว และคำถามต่อไปคือ จะเกิดอะไรขึ้นในยุค 5G?
รัฐบาลในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ต่างมีความต้องการที่จะผลักดันประเทศของตนให้เป็นผู้นำในเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยคต่อไป นั่นคือ “ยุค 5G” ซึ่งหากประเทศมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ดีก็จะทำให้รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมที่ทันสมัยของประเทศได้ และจะสามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ สำหรับการเติบโตได้ โดยการขับเคลื่อนธุรกิจให้มีรูปแบบบริการเรียลไทม์ ดังนั้น 5G จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอีกขั้นหนึ่ง สำหรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่มีศักยภาพอย่างมาก สามารถเพิ่มผลผลิตและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกด้วย จึงทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีการพูดถึง 5G กันอย่างมากในปัจจุบัน
GSMA คาดการณ์ว่าภายในปี 2025 ทั่วโลกจะมีเครือข่าย 5G ครอบคลุม 1 ใน 3 ของประชากรโลก โดยจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้มากถึง 1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2025 และสามารถสร้างตำแหน่งงานได้มากกว่า 17.3 ล้านตำแหน่งงาน
IDC ได้คาดการณ์ว่าการให้บริการ 5G จะเริ่มต้นขึ้นอย่างชัดเจนทั่วโลกในต้นปี 2019 และจะแพร่หลายอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2021 ถึง 2023 และเทคโนโลยี 5G จะเป็นเทคโนโลยีหลักที่สามารถขจัดอุปสรรคในด้านการสื่อสารต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการประยุกต์ใช้ในธุรกิจทุกธุรกิจ
จากรายงานของ Statista คาดการณ์ว่าในยุค 5G จะมีอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) จำนวนมากถึง 31 พันล้านชิ้นเชื่อมต่อกันบนอินเทอร์เน็ตทั่วโลก และจะทำให้ธุรกิจต่างๆ มีโอกาสใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมดิจิทัลในทศวรรษต่อจากนี้ และตลาดของ IoT จะมีมูลค่ากว่า 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2020 และผลการวิเคราะห์ของ Business Insider Intelligence ในรายงาน Internet of Things จะมีค่าตลาดสูงถึง 15 ล้านล้านเหรียญสหรัฐระหว่างปี 2017 ถึง 2025
มีการวิเคราะห์จาก Intel และ OVUM ว่าในปี 2025 จะเป็นจุดก้าวกระโดดของ 5G โดยในรายงานระบุว่า รายได้จากสื่อไร้สายทั่วโลก 57% จะถูกสร้างขึ้นโดยใช้ความสามารถของแบนด์วิดท์ที่สูงขึ้นเป็นพิเศษของเครือข่าย 5G โดยอุปกรณ์และสรรพสิ่งต่างๆ ที่ทำงานบน 5G จะเชื่อมโยงเชื่อมต่อกันนับพันล้านชิ้นทั่วโลกภายในปี 2025 และด้วยความหน่วงเวลาที่ต่ำของเครือข่าย 5G จะทำให้การถ่ายทอดสตรีมมิ่งวิดีโอได้อย่างไม่สะดุดหรือติดขัด และสามารถดาวน์โหลดข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ภายในพริบตา
ายงานของ Intel และ OVUM ยังได้ระบุถึงส่วนแบ่งรายได้จากเครือข่าย 5G ที่แซงหน้า 3G และ 4G ด้วยการใช้ความสามารถใหม่ๆ โดยในปี 2025 5G จะสร้างรายได้มากกว่า 55% ของรายได้ทั้งหมด 183 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก 321 พันล้านเหรียญสหรัฐ
สหภาพยุโรป จากแผน “5G for Europe: An Action Plan” ที่สหภาพยุโรปได้ประกาศในเกือนกันยายน 2016 เพื่อชักชวนให้ประเทศสมาชิกมีการกำหนดยุทธศาสตร์ 5G ของประเทศ (National 5G Strategy) ซึ่งปรากฏว่ามีประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ ได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5G แล้ว
อิตาลี ได้ดำเนินโครงการริเริ่มจำนวนมากสำหรับบริการ 5G โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนการเกี่ยวกับการจัดสรรคลื่นความถี่ และการสนับสนุนการทดลองต่างๆ โดยจะมีการนำแผนมาใช้ครอบคลุมทั่วประเทศ
สวีเดน ได้มีการกำหนดแผนการสำคัญเกี่ยวกับ 5G ใน “ยุทธศาสตร์บรอดแบนด์” ที่จะสามารถเชื่อมต่อสวีเดนได้อย่างสมบูรณ์ ภายในปี 2025